Saturday, 2 April 2016

ตามติดชีวิตสาวก่อสร้าง

ตามติดชีวิตสาวก่อสร้าง
เรื่อง และ ภาพ  โดย Rainy day

แกร๊งงงงง แกร๊งงงงง แกร๊งงงงง ......
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันจันทร์ บอกเวลาที่หน้าจอมือถือ 07.20 น. พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีหน้าต่างเป็นกระจกไม่มีผ้าม่านปิดใดๆ จึงทำให้แสงแดดแยงตาหญิงสาวที่กำลังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มในชุดทำงานของเมื่อวาน พร้อมกันนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปหาต้นตอของเสียงที่ทำให้เธอต้องงัวเงียตื่นลืมตาขึ้นมาในเวลานี้
โอ๊ยยยย เช้าอีกแล้วเหรอเนี่ย กูเพิ่งนอนไปเองนะเธอบ่นในใจ พร้อมกดปิดนาฬิกาปลุก
ขออีกแปปล่ะกันนะ เธอเปิดแอพฯ นาฬิกาปลุกขึ้นมา พร้อมเลื่อนเวลาปลุกไปอีก 10 นาที

08.30 น.
(เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์) ตี๊ด ตีด ตื๊ด ตื๊ด ...
หญิงสาวสะดุ้งตื่นพร้อมควานหาโทรศัพท์ เมื่อมองไปที่หน้าจอเห็นชื่อลูกน้องชาวกัมพูชาโทรเข้ามา เธอรีบรับโทรศัพท์พร้อมกระโดดจากเตียงไปคว้าผ้าขนหนูตรงไปยังห้องน้ำทันที
โหลวว ตาตุ้ม ว่าๆ
เอ้อออ วันนี้เข้าไซต์ไม๊ลูกพี่ ข้อเสือหมดเนี่ย ทำงานไม่ได้
เข้าๆ อ้าว แล้วที่มีอยู่ในสโตร์อ่ะ ใช้ไม่ได้แล้วเหรอ
เหยยยย ใช้ได้ แต่มันต้องขัด รีเวทก็ยังไม่มาเนี่ย แล้วจะใช้อะไรทำงานทีนี้
โอเคๆ เดี๋ยวหนูคุยกับโครงสร้างให้ ขึ้นไปเอาที่ชั้น 8 ใต้ Table form เลยนะ
โอเครๆ ครับ หวัดดีครับ

                จบบทสนทนา เธอรีบอาบน้ำด้วยความว่องไว เพียง 5 นาที เสร็จแล้วจึงหยิบเสื้อตัวใหม่ในตู้เสื้อผ้า แล้วไปคว้ายีนส์ตัวเดิมจากเมื่อวานมาสะบัดๆ แล้วสวมเข้ากับร่างกายอย่างเร่งรีบ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะตบแป้ง เขียนคิ้ว ปัดแก้มและทาลิปสติกก่อนจะมัดผมลวกๆ  แล้วจึงคว้าเสื้อช้อปตัวกับสะพายเป้ ก่อนจะหิ้วรองเท้า safety ออกจากห้อง

ใช่แล้ว เธอคนนั้นก็คือเราเอง ...

                นี่คือชีวิตในทุกๆ เช้าของเรา วันนี้ 2 เมษายน 2559 วันที่เราเขียนเรื่องนี้ เป็นวันที่เราทำงานครบ 2 ปี ตั้งแต่สิ้นสุดชีวิตนักศึกษาปริญญาตรีออกมา  เราคิดเราว่าโชคดีกว่าอีกหลายๆ คนในรุ่น ที่ก่อนจบก็มีงานรอเราอยู่แล้ว แถมยังเป็นสายก่อสร้างที่เราคิดว่าจะโอเคกับเรา แต่...เราคิดผิดหรือคิดถูกกันล่ะเนี่ย

                ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เมษายน 2557 เราเข้ามาทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่ง ถามว่าชอบไหม? ก็ยังไม่รู้นะ ลองดูก่อน แต่คงดีกว่าสายโรงงาน เพราะเราไม่ชอบโรงงานเอาเสียเลย ตอนนั้นเรายังประจำอยู่ที่ออฟฟิตในสำนักงานใหญ่ 4 เดือนแรก เป็นระยะเวลาทดลองงาน หรือเรียกว่า ช่วงโปรนั่นเอง การทำงานในเดือนแรกก็แตกต่างกับชีวิตมหาลัย เราจะต้องบังคับตัวเองให้ตื่นเช้ามาทำงาน แสกนบัตรให้ทัน กินข้าวเช้า กินข้าวเที่ยงให้ตรงเวลา แต่เราเลือกที่จะพักอยู่ใกล้กับบริษัท เพื่อประหยัดค่าเดินทางและไม่ต้องเหนื่อยจากการเดินทาง พูดถึงเรื่องเดินทางเราจำได้ว่าแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ชีวิตในเมืองหลวง ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 รอรถเมล์ ตี 5 ไปทำงาน กว่าจะถึงที่ทำงานต่อรถไป 3 ต่อ ตกเย็นเลิกงาน กว่าจะถึงที่พักก็ดึกดื่นเที่ยงคืน แล้วต้องตื่นตี 4 อีก
เราตั้งใจไว้เลยว่าชีวิตในเมืองหลวงของเราต้องไม่เป็นแบบนี้ แต่มัน(ส์)ยิ่งกว่านี้ ฮ่ะ ท่านผู้ชมมมมมม
                เดือนแรกในการทำงานของเรา ก็ยังอยู่ในช่วงปรับตัว มีการไปเรียนงานที่ไซต์บ้าง เรารู้สึกชอบกับการทำงานที่ไซต์ เพราะมีอิสระในการทำงาน ได้แก้ปัญหาหน้างานตลอดเวลา แต่เราคิดว่าเราคงสู้ไม่ไหวเพราะเราไม่แข็งแรงและมีโรคประจำตัวคือไมเกรน เจอแดดร้อนๆ แบบนี้ก็พับคาไซต์แหละค่ะ
                เย้! ผ่านไปแล้ว 1 เดือน แต่เงินเดือนยังไม่ออกนะ บริษัทของเราเงินเดือนออกทุกวันที่ 5 เพราะอะไรเหรอ เราก็ลืมไปแล้วแหละ  เดือนนี้ดีใจ เพราะจะมีเพื่อนมาเพิ่มถึงอีก 30 คน เป็นชื่อรุ่นว่า DS2 วันแรกที่ได้เจอเพื่อนใหม่ก็ไม่คิดว่าจะสนิทกับพวกมึง เอ๊ย! พวกเธอถึงขนาดนี้เนอะ แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่ พวกเราจะไป Team building กันที่ ภูกระดึง!! และที่แห่งนี้นี่เองที่ทำให้เราพบรักแท้ สงสัยกันล่ะสิ งั้นไว้มาเล่าตอนรักแท้ @ภูกระดึงให้ฟังนะ มาต่อๆ รุ่น DS2 ของพวกเราสนิทกันมาก เพราะผ่านอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง  แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา หลังจากกลับจากภูกระดึง ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน ก็แน่ล่ะสิ นี่มันไม่ใช่มาเข้าค่ายเหมือนสมัยมหาลัย ก็แล้วแต่ว่าใครจะเหมาะกับงานอะไร แบบไหน ที่ไหน ส่วนเราหน่ะเหรอ ออฟฟิตยาวๆ ไปจ้า
                และแล้วก็ถึงเวลา..และแล้วเธอก็ต้องไป...ฉันก็เข้าใจที่เธอเลือกเดิน ง่อวววว ไม่ใช่ๆ และแล้วก็ถึงเวลาที่ฉันผ่านโปร โอ้เย้!!! อย่างนี้ต้องฉลอง 4 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุด เราก็ผ่านโปรและได้หยุด 6 วันเสียที เราไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เราสมัครเรียน ปริญญาโทสาขาเดิมกับตอนปริญญาตรีนี่แหละ เพราะอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าอยากเรียน ดูค่าใช้จ่ายแล้วน่าจะสู้ไหว ทำงาน 5 วัน เรียน 2 วัน เสาร์ อาทิตย์ ชิวๆ นะ ความคิดตอนนั้น แต่พอมาเรียนจริงๆ โดยเฉพาะตอนสอบ เราพูดกับตัวเองว่า

อีเชี่ยยยยย กูอยาตายวันละหลาย 10 ครั้งพร้อมกับก้มหน้าก้มตาอ่านสือต่อไป...

1 ปี 3 เดือนผ่านไป... (ไวเพราะโกหก)
มีคนเคยบอก (แม่เรานี่แหละ) ว่าทำงานก็ต้องมีปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอกับตัวเอง เพราะเราคือทีมโลกสวย แต่เมื่อโลกไม่สวยด้วยกับเราแล้ว เราก็ต้องเอาตัวเองออกมาหาที่ใหม่เพื่อความสบายใจเนอะ เราตัดสินขอออกมาอยู่หน้างาน เหตุผลของเราตอนนั้น คือ ถ้าอยากจะไปตรวจสอบใคร เราจะต้องรู้จริงก่อน การไปไซต์เป็นครั้งคราวไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเราไม่ได้รู้เท่ากับคนที่อยู่ที่ไซต์ เพราะฉะนั้นเราจึงหันเหตัวเองออกมาอยู่หน้างานอย่างเต็มตัว

ภาพตัดกลับมาตอนที่เราออกจากห้อง...
หลังจากที่วิ่งลงบันได สวมรองเท้า safety เสร็จ เราก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งจนถึงไซต์งานก่อสร้างที่เป็นที่ทำงานของเราก่อนจะเข้าไซต์ก็ต้องหยิบหมวก safety มาสวมก่อน Safety First อ่ะนะ แล้วเดินตรงไปยังเครื่องแสกนบัตร ที่หน้าจอแสดงเวลา 08.59 น.
มา ลุยกันต่ออีกวัน!!”
                09.00 น.               ตรวจเอกสาร เคลียร์เอกสาร
                10.00 น.               เดินตรวจหน้างาน คุมคนงานติด Protection  กันฝุ่น
                12.00 น.               พักกินข้าว
                12.30 น.               นอนกลางวัน วันละ 30 นาที (นี่มึงเพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ!!)
                13.00 น.               บ้านข้างคียงโทรหา ไปดูรอยร้าวที่บ้านเขาหน่อย
                14.00 น.               เดิน Site walk กับ Owner (นี่ก็ติจังนะคะ นู่นไม่ดี นั่นไม่ดี ฮ่วย!)
                17.00 น.               ประชุม สรุปงาน
                18.00 น.               หิวเหล้าโว้ยยยย แต่ๆ มึงยังกินเหล้าไม่ได้ มึงต้องไปดูคนงานทำ OT
                20.00 น.               หมดโอแล้ว กินเหล้าได้
นี่คือกิจวัตรประจำวันของเรา ทั้งนี้ยังไม่รวม วันที่มีตรวจเครื่องจักร วันที่มี EIA มาตั้งเครื่องตรวจสิ่งแวดล้อม วันที่ต้องทำ Report วันที่ต้องเตรียมประชุม และภารกิจแทรก ในส่วนของการคุมงาน ไปยืนสวยๆ ลูกน้องมันไม่กลัวหรอกค่ะ ไม่ฟังด้วย แต่การพูดจาตะคอก ด่า สบถ สร้างอำนาจให้ตัวเอง ก็ไม่ใช่แนวทางของเรา บางครั้งคนงานไม่พอก็ต้องลงมือทำเอง เราจะยืนดูลูกน้องทำอย่างเดียวมันก็กระไรอยู่ ซ่อมถนนเองก็เคยมาแล้ว ทาสีบ้านก็เคยทามาแล้ว อะไรที่ลูกน้องทำได้ เราก็ต้องทำได้ ถึงไม่ได้ทำด้วยตัวเองก็ต้องรู้ว่ามันทำอย่างไร แบบนี้สิ ถึงจะได้ใจลูกน้อง แต่ก็ไม่ใช่จะสนิทถึงขั้นหยอกล้อหรือให้เขามาพูดจาแทะโลมได้ ในความใจดีก็ต้องมีความโหดและความเด็ดขาดอยู่ การวางตัวให้เป็นสำหรับผู้หญิงในวงการก่อสร้างจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะให้เราสามารถทำงานได้

หลังจาก 2 ทุ่ม ก็ได้เวลาปิดจ็อบ เลิกงาน พักผ่อนได้ และการพักผ่อนของเราก็คือ....

                แถ่น แถ้น แถ๊น!!! ใช่แล้วคะ อยากที่พวกคุณคิดนั้นแหละ สาวก่อสร้างอย่างพวกเรา ไม่ได้มีดีแค่ความสวย ความอึด ความถึก ทนแดดทนฝน ทนหนาว พวกเรายังเป็นนักดื่มตัวยง เพราะได้ฝึกฝนวิชามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ยันหว่างๆ ไม่เช้าไม่เลิก แต่ตอนทำงานคงไม่ไหว ส่วนเรื่องการวางตัวในวงสังสรรค์ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เรามีความเป็นผู้ชายอยู่ในตัวสูง สามารถคุยกันเรื่องที่ผู้ชายเขาคุยกันได้แบบสบายๆ เลย
                ทำงานเหนื่อยๆ ได้เวลาดื่มน้ำเย็นดับกระหาย ทีมหน้างานก็มาประชุมกันโดยนัดหนาย เครื่องดื่มเพียบ กิจกรรมประจำวงนอกจากจะบ่นเรื่องงาน เรื่องคนงาน เรื่อง Consult เรื่อง Owner เรื่องแอดมิน อุ๊ยย! ไม่ใช่ ก็จะเป็นการพูดคุยเรื่องไรสาระ  พอตกดึกอารมณ์เริ่มมา จะมีคนเปิดเพลง และพากันร้องเพลง ได้แหกปากบ้าง พวกคุณต้องลองดูนะ มันช่วยให้หายเครียดได้ดีทีเดียว ...
               
24.00 น.
หลังจากที่เราสบายใจกันมาพอสมควร ก็ได้เวลากลับเคหะสถาน ซึ่งก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากไซต์สามารถเดินเซซ้ายเซขวาไปจนถึงได้ พอไขประตูเข้าห้องเสร็จ ถอดรองเท้า ถอดเสื้อช้อป ก็ล้มตัวนอนได้ในทันที...เนื่องจากความเมื่อยล้าในตอนกลางวัน ผสมความมึนจากเครื่องดื่มดับกระหายในตอนกลางคืน

07.20 น. เช้าวันรุ่งขึ้น ชีวิต วนลูปอีกครั้ง...

                อ่านมาถึงตรงนี้ พวกคุณรู้สึกอย่างไรกันบ้างคะ กับชีวิตสาวก่อสร้างแบบเรา สำหรับตัวเราแล้ว เราถือคติ Work hard, Study Hard and Play hard แต่เมื่อถึง ณ จุดๆนึง การใช้แรงกายน้อยๆ ใช้สมองเยอะๆ มีเวลาพักผ่อน ดูแลตัวเอง ดูแลคนที่เรารักและรักเราก็คงจะตอบโจทย์ชีวิตของเรามากกว่า แต่ครั้งหนึ่งเราก็สามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้ว่า เมื่อก่อนนะ ฉันเคยเป็นสาวก่อสร้าง ตากแดดตัวดำ เนื้อตัวฝุ่นเกาะสกปรกมอมแมม  กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทนี่ก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย แต่ก็ภูมิใจนะ ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้หญิง

ปั๊กๆ ๆ ๆ ครี๊ดดดดดด (เสียงตอกตะปู เสียงลากไม้)
พี่เชิดๆ ว.2”
ขึ้น 2 เลีย 2”
แกร๊กๆๆ แกร๊งงงๆ (เสียงยกเหล็ก)

ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายสีส้มอมแดงระบายแต้มทิวทัศน์ของเมืองหลวงซึ่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ถนนและสะพาน โครงสร้างพื้นฐานสิ่งเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้มนุษย์ เสียงคน เสียงเครื่องจักร เสียงลมหวีดหวิดพัดมาบนชั้น 15 ให้ความรู้สึกเย็นสบายแต่ไม่หายเหนื่อย น่าแปลก ที่ไม่ว่าการก่อสร้างจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ แต่ศีลธรรมอันดีที่ไม่ต้องใช้เงินในการสร้าง ทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถสร้างได้กันสักที

ได้เวลา OT แล้ว ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป...


Wednesday, 26 March 2014

ว่าด้วยเรื่องของสาววิศวะกับทรงเอ

"...ถ้าได้ 100 ไลค์ หนูจะใส่ทรงเอขึ้นคณะ!!!!!!!" สเตตัส Facebook ของเพื่อน (สาว) คนหนึ่งในคณะ

    จากวันนั้นถึงวันนี้ นางก็ยังไม่เคยใส่ทรงเอไปเรียน 55555555

    หนุ่มวิศวะ คงเป็นที่หมายปองของสาวๆ หลายคน แต่สาววิศวะนี่สิ คิดแล้วพี่เพลีย แต่เอาเถอะ ถึงแม้เราจะสวยสู้สาวๆ คณะอื่นไม่ได้ แต่เรื่องมันสมอง ความรู้ ความสามารถ เราไม่แพ้ใครนะเออ
 
    "...ทำไมถึงมาเรียนวิศวะ?"
 
    ถ้าใครถามเราแบบนี้ เราตอบทันทีเลยว่า "ก็อยากใส่ช้อปอ่ะ" ซึ่งก็ได้ใส่แต่ช้อปจริง เพราะนอกจากจะใส่ชุดนักศึกษาตอนปี 1 แล้ว เราจะหยิบชุดนักศึกษามาใส่อีกทีก็ตอนช่วงสอบ หรือตอนที่ส่งเสื้อช้อปกับกางเกงยีนส์ไปซัก ซึ่งก็แทบนับครั้งได้

    และชุดนักศึกษาที่เราใส่นั้น บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ไม่เคยใส่ทรงเอเลยจ้า ใส่กระโปรงพลีทตลอด (พลีทแอบสั้นนิดนึง) ส้นสงส้นสูง ไม่เคยใส่จ้า ผ้าใบตลอด นี่แหละคือแฟชั่นของสาววิศวะ

    เหตุที่สาวๆวิศวะไม่ใส่ทรงเอไปเรียนกันนั้น ไม่มีที่มาชัดเจน แต่เราสันนิษฐานเอาว่า เนื่องจากคณะเราผู้ชายเยอะ มีเทียบเป็นสัดส่วนระหว่างผู้ชายต่อผู้หญิงประมาณ 4:1 ถ้าเป็นสมัยปี 1 คือจะใส่พลีท เพราะยังเป็น Freshy  แต่พอขึ้นปี 2,3,4 มีวิชาที่ต้องลงแลป เช่นของเราต้องเรียน Survey, Concrete, Soil บลาๆ คือแบบก้มๆ เงยๆ แบกกล้อง กวนปูน ก็เลยต้องใส่ช้อปไปเรียน ซึ่งตามระเบียบนั้น จะให้ใส่ชุดช้อปหรือเสื้อปฏิบัติการเวลามีวิชาที่ต้องลงแลป แต่กระนั้น หนึ่งสัปดาห์เรียน 5 วัน มีแลปอย่างน้อย 3 วัน ก็ใส่มันทั้ง 5 วันเลย ตัวละอาทิตย์พอดี (คนอื่นไม่รู้นะ แต่ rate เราประมาณนี้ หรืออาจมากกว่า 5555555)

    นอกจากนั้นเวลาไปสอบก็ยังคง concept เดิม คือ กระโปรงพลีท รองเท้าผ้าใบ (พอปีสูงหน่อยมีใส่หุ้มสั้น fashion บ้าง) ถามว่าอยากใส่ทรงเอมาสอบไหม อยากค่ะ แต่ทางขึ้นคณะเราไม่ธรรมดาเลย แถมถ้าอยู่หอนอกก็ต้องขับรถมอเตอไซค์เข้ามาสอบ คือมันเอื้ออำนวยทางกายภาพเอาซะเลย ส่วนทางชีวภาพ feed back หลังจากใส่ทรงเอมาเรียน เพื่อนผู้ชายมันจะมองแปลกๆ และ ก็คิดในใจ ว่ามันมองเพราะเราสวย ดูดี ดูแปลก หรือแปลกประหลาด 55555555 อันนี้ไม่เคยเจอกับตัวเอง แต่ฟังจากเพื่อนมาอีกทีนึง สรุปว่า อย่าใส่มันเลย ใส่ไรมาสอบก็ได้ ขอให้ตื่นมาสอบทัน

    เคยมีอาจารย์ที่สอนเราท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า "...สมัยผมนะ ก็เหมือนพวกคุณนี่แหละ ผู้หญิงก็เขาก็แต่งตัวกันง่ายๆ เอาคล่องไว้ก่อน แต่พอวันจบนะ เขาใส่กระโปรงทรงเอมาถ่ายรูป คุณเชื่อมั๊ย ได้กันหลายคู่เลยล่ะ....." พวกเราก็หัวเราะกันทั้ง class อะไรจะขนาดนั้นค่ะอาจารย์ ^^"

    ถามว่า จะอะไรกันนักหนากับใส่ทรงเอมาเรียน คือสำหรับเรามัน Amazing อ่ะ สิ่งที่อยากเล่าก็มีประมาณนี้ จริงๆก็ไม่ได้อะไรมาก มันก็เป็นเรื่องน่ารักๆ ของสาวๆวิศวะเนอะ วันนี้ก็เอารูปเพื่อนๆมาให้ชมกันจ้าาา^^

    ขนาดถ่ายรูปสาขาตอนจบก็ยังคงเป็นกระโปรงพลีท รองเท้าผ้าใบ (แต่เราแอบใส่ทรงเอนะ เผื่อจะได้คู่ แต่มองไม่เห็นหรอก^^)

ถ่ายที่หน้าภาควิชา
ดูขาแต่ละนางสิ!!!!
คณะวิศวกรรมศาสตร์ ยินดีต้อนรับ
เราเองแหละ เรียนหนักจนขาขึ้นกล้ามเลย เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย 55555
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง

พระราชบิดรที่เกรียงไกร เหนือหัวใจแห่งเรา
เพื่อน(สาว) คนนี้แหละที่บอกว่าถ้าได้ 100 like จะใส่ทรงเอขึ้นคณะ แล้วนางก็ใส่ตอนจบ 5555555
ไฟสวย ทำให้พวกเราสวย เหรอ??? ถ่ายที่ศูนย์ประชุมนานาชาติจ้า

    ไม่ว่าเราจะใส่ชุดไหนๆ ใส่อะไรมาเรียน สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญที่สุด คือ การให้เกียรติสถานที่ ถึงแม้จะได้ใส่ชุดนักศึกษาแค่ 4 ปี แต่ก็ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ขึ้นชื่อว่า นักศึกษา ^^

    กลับมาคราวหน้าจะมาว่าด้วย Trip อ่าวนาง กระบี่ ทิ้งทวนชีวิตนักศึกษากับเพื่อนๆ แล้วแวะมาดูอีกน้าาา

<<<Bye Bye>>>

ว่าด้วยเรื่องของเจ้าของ Blog

      ที่มา "Rainy Day : วันฝนพรำ"

    สวัสดีจ้า ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวก่อนนะ อันตัวเจ้าของ blog นี้มีชื่อว่า น้ำฝน ตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว กำลังจะทำงาน เอารูปสวยๆ ไปดูก่อนหนึ่งรูปนะ


     นิสัยส่วนตัว ก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆไป ชอบกิน ชอบเที่ยว Shopping Party บลาๆ ตามประสาสาวๆ แต่ก็ออกแนวห้าวๆนิดนึง ชอบผจญภัย ชอบทำอะไรที่ท้าทาย ประมาณว่า สวย ถึก และบึกบึน ก็เค้าเป็นสาววิศวะนิ (Concept แว่นดำ 55555)


    ยามว่าง สิ่งที่ชอบทำคือ นอนหลับzZZ ก็คนมันเรียนหนักอ่ะ ยามไม่ว่าง แต่ชอบทำ คือ เที่ยว ถ่ายรูป หาอะไรอร่อยๆกิน นี่แหละชีวิตประจำวัน

    สำหรับที่มาของชื่อ Blog "Rainy Day : วันฝนพรำ" ก็มาจากชื่อเล่นของเราเอง บวกกับความที่ชอบให้ฝนตกเวลาเย็นๆ ใกล้ค่ำ ตกทั้งวันได้ยิ่งดี เพราะนอนหลับสบาย ไม่ร้อน นี่แหละหนาชีวิตเด็กหอ blog นี้ก็จะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเรา เป็น Diary electronic เป็นที่ระบายอารมณ์ เอ๊ยย ไม่ใช่แล้ว เอาเป็นว่า เป็นพื้นที่บอกเล่าเก้าสิบเก้าล้านแปดเรื่องราวของเราล่ะกันเนอะ^^
     
    วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะจ้ะ คราวหน้าจะมาว่าด้วยเรื่องของการถ่ายรูปเรียนจบ กับชุดนักศึกษาทรงเอของเด็กวิศวะ 

   ปล. Blog นี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากเรื่องของเจ้าของ Blog +555555

ฺ<<<Bye Bye>>>



                    
                    BENYAPAT_NUMFON (IG)